บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
พ่อฮิตเลอร์เป็นคนที่เข้มงวดมาก และนิยมใช้ความรุนแรงลงโทษหากลูกไม่เชื่อฟัง ฮิตเลอร์จึงเป็นเด็กเรียนดีในตอนต้น เพื่อนๆยกย่องให้เป็นผู้นำ ทั้งยังเคร่งศาสนาจนใครๆคิดว่าโตขึ้นมาจะเป็นนักบวช แต่พอขึ้นเรียนชั้นสูงขึ้น วิชาต่างๆก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสอบไม่ได้ที่ 1 พ่อเริ่มเกรี้ยวกราดเพราะกลัวลูกจะเข้ารับราชการไม่ได้ ส่วนเพื่อนๆก็เริ่มไม่ปลื้มให้เป็นหัวหน้า ความกดดันต่างๆทำให้ฮิตเลอร์เบี่ยงไปสนใจการต่อสู้ ครูชั้นมัธยมฯ คนเดียวที่ฮิตเลอร์ชื่นชอบคือ ลีโอโพลด์ พอตช์ ซึ่งเป็นคนนิยมความสำเร็จของเยอรมนี จึงมักเล่าถึงชัยชนะต่างๆของเยอรมันเหนือฝรั่งเศส ในศึกปี ค.ศ.1870-1871 และต่อว่าออสเตรียว่าไม่ยอมเข้าร่วมกับเยอรมนี ฮิตเลอร์พานชอบเยอรมันไปด้วยโดยมี ออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี เป็นฮีโร่ในดวงใจ สำหรับวิชาที่ฮิตเลอร์สนใจมากอีกวิชาคือศิลปะ ซึ่งทำให้ทะเลาะรุนแรงกับพ่อเพราะไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้ลูกเป็นศิลปิน ศึกพ่อลูกสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1903 เมื่อพ่อฮิตเลอร์เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากทางการเงิน แต่ฮิตเลอร์ยังคงไม่รักเรียนเช่นเดิมจนแม่ยอมให้ออกจากโรงเรียน ต่อมาในช่วงอายุ 18 ปี ฮิตเลอร์ได้รับมรดกของพ่อ และใช้เงินเดินทางไปกรุงเวียนนาหวังว่าจะไปเรียนวิชาศิลปะที่นั่น ฮิตเลอร์คิดว่าตนเองมีความสามารถทางศิลปะที่เหนือชั้น แต่พอไปถึงจริงกลับถูกสถาบันวิชาการศิลปะเวียนนาปฏิเสธใบสมัคร จากนั้นจึงย้ายไปสมัครที่โรงเรียนสถาปัตยกรรมแต่ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใบรับรองจากโรงเรียนเก่า หลังจากฮิตเลอร์ย้ายจากเมืองเบราเนาไปกรุงเวียนนา และเข้าเรียนศิลปะอย่างที่ใจหวังไม่ได้ ก็ไม่กล้าบอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นว่าเป็นนักเรียนศิลปะอยู่ที่กรุงเวียนนาอย่างนั้น โดยใช้เงินบำนาญมรดกของพ่อดำรงชีวิตในเมืองหลวงอย่างสบาย วันๆก็นอนเล่นอ่านหนังสือ ตกบ่ายไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะ จนกระทั่งปี ค.ศ.1907 แม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง การเสียชีวิตของแม่ทำให้ฮิตเลอร์เสียใจสุดซึ้ง เพราะรักแม่มากกว่าพ่อ ตามประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ถือรูปแม่ไปทุกที่แม้กระทั่งวาระสุดท้ายรูปก็ยังอยู่ในมือ ในปี ค.ศ.1909 ซึ่งเป็นปีที่ควรเกณฑ์ทหาร ฮิตเลอร์กลับไม่ยอมรับใช้กองทัพออสเตรียของตัวเอง เพราะแค้นอยู่ลึกๆที่สถาบันการศึกษาออสเตรียไม่เปิดโอกาสให้เรียน นอกจากนี้ยังชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก จึงไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารกล้าตาย สู้เลือดเดือด ช่วงเวลานี้ชีวิตของฮิตเลอร์มีทั้งขึ้นและลง หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ฮิตเลอร์ย้ายไปอยู่มิวนิกและเริ่มชีวิตทางการเมือง ซึ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน จนกระทั่งปี ค.ศ.1921 ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคนาซี มีนโยบายต่อต้านชาวยิวและผู้นิยมลัทธิสังคมนิยม ในปี 1933 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและหนึ่งปีถัดจากนั้นตั้งตนเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ สร้างกองทัพยึดคืนแคว้นไรน์ และในปี 1936 ร่วมมือกับเผด็จการมุสโสลินีของอิตาลีบุกยึดออสเตรีย ชาติเกิดของตนเอง ตามด้วยเชโกสโลวะเกีย สำหรับเชโกฯ นั้นบุกยากกว่าออสเตรีย เพราะมีฝรั่งเศสเป็นพันธมิตร ทางด้านอังกฤษจึงเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแบ่งพื้นที่บางส่วนของเชโกฯ ให้เยอรมัน แต่ภายหลังถูกฮิตเลอร์หักหลังเข้ายึดทั้งประเทศ ทำให้อังกฤษอับอายมาก ด้วยความที่ได้คืบจะเอาศอก ฮิตเลอร์ลุยต่อไปที่โปแลนด์ คราวนี้อังกฤษกับฝรั่งเศสไม่ยอมอีกแล้ว วันที่ 3 ก.ย. 1939 จึงประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 กับเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรและอักษะสู้รบกันอยู่นานถึงปี 1945 ฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ ฮิตเล่อร์ยิงตัวตายที่ Fuhrerbunkerเมื่อวันที่ 30เมษายน ปี ค.ศ. 1945 พร้อมกับภรรยาที่พึ่งเข้าพิธีแต่งงานกัน คือ อีวา บราวน์ (Eva Braun) หลังการยิงตัวตาย ศพของทั้งคู่ถูกนำออกไปด้านนอกที่พัก ราดด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงและจุดไฟเผา ศพของฮิตเล่อร์ตัวปลอม ถูกพบที่เบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1945 ปีเดียวกันกับที่ฮิตเล่อร์ยิงตัวตาย ศพนี้ถูกพบโดยบังเอิญโดยทหารรัสเซีย ในเมืองเบอร์ลินและถูกสันนิฐานว่าเป็นศพของอดอฟ ฮิตเล่อร์ผู้นำเยอรมัน แต่ในความเป็นจริง เป็นศพของ Gustav Weler ตัวปลอม (body double) ของฮิตเล่อร์ โดยเขาถูกยิงเข้าที่หน้าผากทำให้เสียชีวิตกระดูกของฮิตเล่อร์ กระดูกดังกล่าวถูกเก็บไว้ในกล่องกระดาษที่ห้องเก็บเอกสารของรัฐ ของประเทศรัสเซีย ณ. กรุงมอสโคว์ ที่ซึ่งกระดูกถูกย้ายมาเก็บไว้หลังจากเยอรมันแพ้สงครามและกองทัพรัสเซียเข้ายึดกรุงเบอร์ลิน กระดูกเหล่านี้เชื่อกันว่าเป็นกระดูกที่เหลือหลังจากศพฮิตเล่อร์ถูกเผา ฮิตเล่อร์ เมื่ออายุได้ 50 ปี เสียชีวิตจากบาดแผลจากการยิงตัวตาย สวัสติกะ ชื่อนี้มาติดตา ติดหู ติดใจและเป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายเมื่อครั้ง ?อดอล์ฟ ฮิตเลอร์? นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ จากนั้นมา ?สวัสติกะ? จึงกลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าสะพรึงกลัว การเข่นฆ่า และสงคราม แท้จริงแล้ว สวัสติกะ เป็นเครื่องหมาย เก่าแก่ มีความเป็นมาที่ยาวนานไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีก่อนพุทธกาลเสียอีก มีการค้นพบ สวัสติกะตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ ทางแถบอเมริกา มีการค้นพบสัญลักษณ์นี้ถูกใช้ ในเผ่ามายา ของเม็กซิโก และพวกอินเดียนแดง ถือเป็นเครื่องหมายแห่งโชค ชีวิต แสงสว่าง และความรัก สวัสติกะ ถือเป็นเครื่องหมายแห่งพลังอำนาจ ดังนั้นสมัยที่ ฮิตเลอร์เข้ามามีอำนาจในช่วงปี1927 จึงนำเครื่องหมายนี้ไปใช้ แต่ในความเชื่อของทางบาบิโลน การหันทางซ้ายของสวัสติหมายถึง การมุ่งทำลายล้าง และปิศาจ ซึ่งแทนความหมายของสิ่งเลวร้าย ส่วนทางด้านขวาแทนสิ่งที่ดีหรือพลังอำนาจ ซึ่งฮิตเลอร์ก็ได้ใช้สัญลักษณ์ที่หันทางด้านขวา มีข้อสันนิษฐานถึงการที่ฮิตเลอร์นำเครื่องหมายสวัสติกะมาดัดแปลงใช้นั้น ซึ่ง มีทั้งมาจากหนังสือเกี่ยวกับอเมริกันอินเดียน ของคาร์ล เมย์ (Karl May) ที่ฮิตเลอร์ชอบอ่าน กับอีกทางหนึ่งซึ่งมีความน่าจะเป็นสูง นั่นคืออิทธิพลจากการฝึกสมาธิแบบธิเบตของกองกำลังทหาร ซึ่งมีการนำเครื่องหมาย นี้มาจากทางธิเบต โดยคาร์ล ฮูชอฟ ( Karl Haushofer) คนสนิทฮิตเลอร์ ที่มีความสนใจทางด้านการทำสมาธิ และใกล้ชิดกับธิเบต ได้นำเอาแนวทางด้านสมาธิของทิเบตมาใช้ฝึกกองกำลังทหาร ให้มีจิตใจที่แกร่ง มุ่งมั่นและมีความกล้าหาญ อีกทั้งได้รับอิทธิพลด้านการเรียนเกี่ยวกับสมาธิแบบธิเบต จากจอร์ อีวานโนวิช กรุดแจฟ (George Ivanovitch Gurdjieff) ซึ่งเป็นคุรุทางจิตวิญญาณคนหนึ่งของรัสเซีย ที่ X วชาญด้านการฝึกสมาธิ และเป็นผู้หนึ่งที่ใกล้ชิดอย่างมากกับดาไล ลามะ ผู้นำทิเบต |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น